/ # Experience / 7 min read

ฝึกภาษา-เตรียมตัวไปสอบ IELTS (or whatever) ฉบับคนขี้เกียจ

ไม่แน่ใจว่าเฉพาะคนรุ่นผมหรือเปล่า ที่พยายามแสวงหา How-to ทางลัดขั้นเทพสู่เป้าหมาย หรือจะเป็นความลับบางอย่างสู่ความสำเร็จ แทนที่จะเสาะแสวงหาแนวทางของตัวเอง แต่อันที่จริงมันไม่ใช่เรื่องที่แย่อะไรหรอกนะครับ ก็คนมันขี้เกียจนี่นา - ผมก็เป็นเหมือนกัน

เนื่องจากตอน ม.4 ตอนนั้นมีโอกาสได้ไปสอบ IELTS ซึ่งเป็นข้อสอบจากประเทศอังกฤษ มีขึ้นมาเพื่อวัดทักษะภาษาอังกฤษของผู้เข้าสอบ ทั้งฟัง-พูด-อ่าน-เขียน และมีผลต่อการเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยในสายนานาชาติต่าง ๆ แล้วผลที่สอบออกมาก็ไม่ขี้เหร่ซักทีเดียวสำหรับนักเรียนไทย และก็มหาวิทยาลัยที่ว่า ๆ มาได้ คือได้ 7 โดยไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากนัก ตอนนั้นไม่ได้ไม่ว่างอะไร แต่แค่ขี้เกียจ

ก็เลยลองลิสต์เป็นข้อ ๆ แล้วมาเขียนทิ้งไว้ เพราะขี้เกียจตอบแล้ว

จะมีอะไรบ้าง มาดูข้างล่างกัน

ฝึก Listening ง่าย ๆ แค่หารายการที่เราชอบฟัง

Listening เป็นส่วนที่เก็บคะแนนได้ง่ายมากส่วนหนึ่ง เพราะตัวคำถามไม่ได้มีความสลับซับซ้อน แต่เป็นที่น่าเสียดายที่คนไทย ซึ่งไม่ได้คลุกคลีกับภาษาจะฟังสำเนียงเขาไม่ค่อยออกกัน และฟังไม่ทันอีกด้วย วิธีการก็ง่ายมาก คือ การฟังให้เยอะเข้าไว้

ผมที่ขี้เกียจไปฟังแบบฝึกหัด Listening อันแสนน่าเบื่อตามเว็บต่าง ๆ ก็เลยไปหารายการที่ตัวเองชอบมาแล้วฟังมันทุกวัน อย่างรายการที่เราดู คือ Last Week Tonight with John Oliver เป็นรายการที่พิธีกร ซึ่งเป็นคอมเมเดียน จะมาเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่กำลังเป็นประเด็นให้ฟังอย่างฮา ๆ ซึ่งเราแนะนำมาก

อย่างคลิปนี่ ตา John Oliver แกก็เล่าเรื่อง Food Waste ออกมาอย่างขำ ๆ แต่มีสาระ

ที่ชอบรายการนี้เพราะว่านอกจากจะตลกแล้ว เนื้อหาค่อนข้างจริงจัง การใช้ศัพท์เลยจะยากขึ้นไปตามเนื้อหา รวมถึงพิธีกรแกเป็นคนอังกฤษ แค่มาทำรายการที่อเมริกาเฉย ๆ สำเนียงเลยจะเข้าทาง IELTS พอสมควร แล้วแกพูดชัดด้วย มือใหม่ก็จะพอถูไถไปได้

ตอนแรก ๆ เมื่อหัดฟังก็ลองเปิดซับของ Youtube ตามไป คำไหนไม่เข้าใจก็เปิดดิกชันนารีภาษาอังกฤษอ่านเอา แม้ว่าช่วงแรกจะดูคลิป 20 นาทีโดยใช้ 40 นาทีก็ตาม แต่เชื่อไหมว่าเวลาไม่ถึงอาทิตย์สองอาทิตย์จะไวขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะคนไทยเรียนแกรมม่า คำศัพท์ยาก ๆ เยอะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ไม่ค่อยได้ฟังหรือใช้

นอกจากจะช่วยเรื่องการ Listening แล้วยังช่วยพาร์ทอื่นแบบอ้อม ๆ อีกด้วย อย่างพาร์ทการพูด เราก็จะฟังเจ้าของภาษาได้ง่ายขึ้นนั่นเอง เพราะเขาจะไม่ได้คำถามช้า ๆ และก็จะมีสำนวน วิธีการตอบ และวิธีการคิดที่แตกต่างออกไป เพราะเราเริ่มคิดแบบคนอังกฤษ หรือจะเป็นพาร์ทการอ่านและเขียนที่จะช่วยเพิ่มพูนคำศัพท์ของเรา โดยเฉพาะจากรายการที่ว่า

ดังนั้น หารายการสนุก ๆ แต่พอมีสาระบ้างที่เป็นภาษาอังกฤษล้วนจะช่วยให้เรามีความสุขกับการฝึกอย่างมาก ทำเป็นกิจวัตรประจำวัน เดือนนึงภาษาเราก็จะเริ่มเปลี่ยนแล้ว ไม่ต้องพยายามอะไรมาก

ฝึก Speaking ยังไง? พูดคนเดียว คุยกับตัวเองในใจซะเลย

มีเพื่อนด่ากระแดะพูดอิ้งเหรอ - ไม่เป็นไร ก็พูดคนเดียวซะเลย

วิธีการนี้เมื่ออ่านดูอาจจะรู้สึกว่าคนโง่ภาษาอังกฤษอย่างเราจะทำได้เหรอ แกรมม่ายังเพี้ยนอยู่เลย แต่ถ้าเราซึมซับภาษาอังกฤษจากการฟังมาพอตัวแล้ว เราจะพอทำได้ ผนวกกับแกรมม่าที่โรงเรียนยัดให้เรามากมาย แม้จะจำได้ไม่ได้บ้าง มันจะช่วยสร้างประโยคในหัวเราได้ ถ้าคำไหนไม่รู้เราก็ใช้โทรศัพท์หาเอา ไม่แน่ใจแกรมม่าก็ลองเปิดเน็ตเอา

พอฝึกไปซักพักเราจะสามารถนำความสามารถนี้ไปใช้เวลาเราเบื่อ ๆ ได้ อย่างผมจะใช้ตอนเวลาอาบน้ำหรือนั่งอุจจาระ โดยจะหาประเด็น เช่น ถ้าฝรั่งมาถามทางเราไปเซนทรัลเวิร์ดจากมาญครองจะบอกยังไง หรือถ้ามีนักข่าวฝรั่งมาถามความคิดเห็นเกี่ยวกับประยุทธ์จะตอบยังไง

วิธีการนี้จะเริ่มทำให้คุณคิดเป็นภาษาอังกฤษมากขึ้น เพราะยิ่งทำไปคุณก็ยิ่งจะขี้เกียจที่จะ "แปล" จะประโยคภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ

ตื่นเช้ามาเปิดข่าวอ่านเป็นภาษาอังกฤษ

การอ่านข่าวเนี่ยดูจะเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่ก็ขอให้คิดซะว่าเป็นการอ่านดราม่า เราก็จะอ่านได้อย่างมีความสุขมากขึ้น แล้วก็เลือกเรื่องที่อ่านเป็นเรื่องที่เราสนใจ เชื่อหรือไม่ว่าเราจะเริ่มอ่านเรื่องที่จริงจังขึ้นเอง ตอนแรกตัวเองอ่านข่าววงการไอดอลญี่ปุ่น เกาหลีทั่วไป จนเดี๋ยวนี้อ่านข่าวเทคโนโลยีและการเมืองแทน

พอคนเราเริ่มทำอะไรแล้วเริ่มทำได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ มันเหมือนเป็นการค่อย ๆ ชนะตัวเองไปทีละขั้น ตัวเราพอเรารู้สึกว่าเราชนะเนี่ยก็จะเริ่มมีความสุข เราก็จะเริ่มอยากชนะต่อไปเรื่อย ๆ เอง ทำให้เราอ่านอะไรที่มันจะค่อย ๆ ท้าทายเรามากขึ้น

เดี๋ยวนี้เครื่องมือในโทรศัพท์เนี่ยดีมาก ๆ แค่เราไฮไลต์คำ ก็มี Option ในการนิยาม (Define) หรือค้นหาในดิกชันนารีมาให้เรียบร้อยแล้วโดยไม่ต้องเปลี่ยนหน้า ทำให้สะดวกมาก เจ้าตัวนี่แหละทำให้เราชนะพวก Text ภาษาอังกฤษได้ง่ายกว่าคนแต่ก่อน

ตอนเช้าเวลาผมอุจจาระไม่ออกก็นั่งอ่านข่าวไปนี่แหละครับ

เปลี่ยนอินเตอร์เฟซของทุกอุปกรณ์คุณเป็นภาษาอังกฤษ

ทริคนี่ที่จริงผมไม่ได้ทำกับภาษาอังกฤษซะทีเดียว แต่ไปใช้กับตอนเรียนภาษาญี่ปุ่น แล้วมีพี่คนนึงบอกให้ฟังแถมยืนยันว่าเวิร์คมาก ๆ ซึ่งก็น่าจะจริง เพราะพอเมนูต่าง ๆ เป็นภาษาที่เราไม่ถนัดแล้ว มันบีบบังคับให้เราต้องเรียนรู้คำศัพท์พวกนั้น แค่อย่าไปแอบเปลี่ยนกลับเป็นภาษาไทย

Taking notes in English

ถ้าคุณเป็นวัยเรียน การจดสมุดเนี่ยก็คงทำเป็นปกติมาก ๆ อยู่แล้ว ดังนั้นเราก็แค่ทำสิ่งที่เราทำอยู่แล้ว แต่ออกจาก Comfort Zone ซักหน่อยด้วยการจดเป็นภาษาอังกฤษ เช่น คุณเรียนวิชาสังคมฯ อาจารย์บอกว่ารัฐมีองค์ประกอบ 4 อย่าง ได้แก่ ประชากร ดินแดน รัฐบาล อำนาจอธิปไตย ผมก็จดเป็น A state consists of four elements: population, territory, government, and sovereignty คุณก็จะได้ศัพท์ใหม่มามากมาย

หรือคุณอาจจะฝึกเขียนประโยคให้ยากขึ้น หรือเขียนในอีกรูปแบบ เช่น Four essential elements for a state are population, territory, government, and sovereignty. ก็ได้ คุณก็จะมีลีลาการเขียนที่ดีขึ้น

รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง

ที่จริงการสอบเนี่ยมันก็เหมือนไปรบนี่แหละครับ เราไปต่างต่อสู้ ฟาดฟันกับข้อสอบ-คนออกข้อสอบ ทว่าปัญหาที่เจอบ่อยมากจากคนที่มาปรึกษา คือ ไม่เข้าใจว่าการสอบ IELTS คืออะไร เพื่ออะไร และมีแนวทางการวัดอย่างไรกันแน่เมื่อลองถาม ๆ แล้ว ส่วนวิธีการแก้ก็ง่ายมาก คือ เริ่มทำความรู้จักก่อน

วิธีก็ง่ายมาก เราแนะนำให้คุณไปปรึกษาอากู๋ด้วยคีย์เวิร์ด "รีวิวการสอบ IETLS" หลาย ๆ คนที่ไปสอบมาก็จะเล่าออกมากันอย่างมีอรรถรสแตกต่างกันไป อ่านเพลิน ๆ เหมือนฟังเพื่อนบ่น

พอเราพอจะรู้จักคู่ต่อสู้คนใหม่ของเราแล้ว เราก็จะเริ่มวางยุทธวิธีได้ไม่ยาก

ต่อมาเมื่อเข้าสู่อาทิตย์ก่อนสอบ ผมก็จัดการลองทำแบบฝึกตามในเน็ตวันละ 20-30 นาทีทุกวัน ซึ่งไม่ได้หายากเลย ในหนึ่งวัน ผมก็ทำ Reading ซักหนึ่งส่วน ให้พอเข้าใจแนวทางของมันเฉย ๆ เพราะเราสะสมทักษะต่าง ๆ จากกิจวัตรประจำวันมากพอสมควรแล้ว

พอใกล้ ๆ วันสอบมาก ๆ ผมก็เลยไปจัดหนังสือชื่อ Top Tips for IELTS มา ตอนแรกไม่ได้คาดหวังอะไรมาก ปรากฏว่ามันดีมาก เพราะรวมทุกเทคนิกมาไว้ในที่เดียวเลย คนขี้เกียจอย่างผมก็ขี้เกียจไปนั่งหาเทคนิกที่กระจัดกระจายอยู่ตามเน็ต นอกจากนี้ตัวหนังสือก็แถมซีดีแบบฝึกหัดให้ด้วย ในวันสอบก็เลยไปนั่งอุจจาระในห้องน้ำพร้อมเปิดเล่มนี้ผ่าน ๆ ไป

สุดท้าย

ผลสอบจากการใช้วิธีทั้งหมดนี้ก็ได้คะแนน 7 อย่างที่ว่านั่นแหละครับ โดยมีพาร์ทการเขียนที่ได้คะแนนน้อยสุด เพราะไม่ได้เตรียมตัวไปซักเท่าไหร่ ดังนั้นจุดนี้ก็ต้องฝึกเขียนภาษาอังกฤษให้มาก ๆ เข้าไว้ อย่าขี้เกียจมากแบบผม

วิธีการเหล่านี้จะเกิดผลก็ต่อเมื่อเราทำเป็นกิจวัตรของเรา ทำนิดทำหน่อยทุกวันมันจะค่อย ๆ สะสมไป แล้วพอช่วยท้าย ๆ เราก็เริ่มเชื่อมต่อจุดต่าง ๆ เข้าด้วยกันโดยไปลองทำแบบฝึกหัดบ้าง ซื้อหนังสือที่มันสรุปมาบ้าง

สู้ ๆ ครับทุกคน ที่จริงใครขี้เกียจ แต่รวยก็ไปลงคอร์สติว IELTS แบบจัดเต็มก็น่าจะง่ายที่สุดนะ,

ผมว่า

ฝึกภาษา-เตรียมตัวไปสอบ IELTS (or whatever) ฉบับคนขี้เกียจ
Share this